หมวกกันน็อค ถูกออกแบบมาเพื่อวัตถุประสงค์หลักคือ เพื่อป้องกันและลดความเสียหายของศีรษะเมื่อเกิดการกระแทกจากอุบัติเหตุจากการขับมอเตอร์ไซค์ มอเตอร์ไซค์ที่เราเห็นทุกวันนี้มีหลายขนาด หลายรูปทรง หลายประเภท หมวกกันน็อคเองก็เช่นกัน แล้วจะเลือกใช้แบบไหนดีให้เข้ากับตัวเอง ในบทความนี้เราจะมาเล่าให้ฟังว่า หมวกกันน็อคมีกี่ประเภท และควรเลือกซื้ออย่างไรดี ถ้าพร้อมแล้วไปดูพร้อมๆกันเลย
1. หมวกกันน็อคครึ่งใบ (Half face)
เป็นหมวกกันน็อคที่พบเห็นได้ทั่วไป ใช้งานงาน สวมใส่สบายไม่ยุ่งยาก และราคาไม่แพง มีตั้งแต่หลักไม่กี่ร้อยบาทไปจนถึงหลักพันบาท มักเป็นหมวกแถม เป็นoptionของแถมเพิ่มเติมให้กับคนที่มาซื้อมอเตอร์ไซค์คันใหม่ เราจึงเห็นได้บ่อยๆ
แต่หมวกกันน็อคครึ่งใบนี้ในการใช้งานจริงแล้วไม่ค่อยตอบโจทย์วัตถุประสงค์ที่แท้จริงเท่าไหร่ เพราะว่าตัวหมวกจะครอบศีรษะแค่ครึ่งบนของศีรษะเท่านั้น ประสิทธิภาพในการป้องกันอันตรายนั้นต่ำมาก หากเกิดอุบัติเหตุพลิกคว่ำจริงๆแทบจะไม่ช่วยป้องกันอะไรเลย ทั้งการรับแรงกระแทกและการป้องกันใบหน้า สามารถใช้ในชีวิตประจำวันในระยะทางใกล้ๆได้ แต่ไม่ควรใช้ความเร็วมาก ประมาณ 50 กม./ชม. เพราะนอกจากเรื่องการล้มแล้ว ยังมีเรื่องฝุ่นหรือเศษต่างๆที่อาจจะกระเด็นเข้ามาโดยที่มีอะไรป้องกันได้
หมวกประเภทนี้นอกจากใช้ทั่วไปแล้ว ยังเป็นแฟนชั่นได้อีกด้วย เพราะหมวกกันน็อคครึ่งใบแบบ Vintage มันถูกใช้คู่กับมอเตอร์ไซค์แนว vitagte อย่าง Halay หรือ Chopper แต่ยังไงแล้วก็เท่อย่างระมัดระวังกันด้วยนะ
2. หมวกกันน็อคเปิดหน้า (Open face)
เป็นหมวกกันน็อคอีกประเภทที่มีการใช้งานโดยทั่วไป สวมใส่ง่าย เพิ่มการป้องกันลงมาถึงด้านข้างศีรษะ บางรุ่นมีกระจกบังลม บางรุ่นไม่มี แล้วแต่ยี่ห้อและรูปแบบ เหมาะกับขับขี่ในเมืองหรือนอกเมืองก็ได้ ซึ่งข้อดีของหมวกกันน็อคประเภทนี้คือ นอกจากจะมีการป้องกันที่มากกว่าแบบครึ่งใบแล้ว เวลาหันซ้าย-ขวายังมองเห็นได้ง่ายอยู่ วิศัยทัศน์กว้าง มุมมองกว้าง แต่ก็มีจุดที่ยังต้องระวังอยู่คือไม่มีการป้องกันบริเวณคาง ถึงจะมีกระจกกันลม กันเศษดินหรือแมลงต่างๆได้ แต่ลมยังสามารถตีย้อนใต้คางเข้ามาได้อยู่ อาจทำให้ตาแห้งได้ราคาไม่แพง เริ่มต้นตั้งแต่ประมาณหลักร้อยไปจนถึงหลักหมื่นบาทเลยก็มี ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ วัสดุที่ใช้ทำ
3. หมวกกันน็อคเต็มใบ (Full face)
เป็นหนึ่งในหมวกกันน็อคที่มีความปลอดภัยสูง เพราะว่าคลุมทั้งศีรษะและคาง ปิดใบหน้าได้ทั้งหมด สามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้ แต่มักนิยมใช้ในหมู่คนที่ขับมอเตอร์ไซค์ Bigbike และในการแข่งขันในสนามเป็นส่วนใหญ่ เพราะเป็นการขับที่ต้องใช้ความเร็ว จึงจำเป็นต้องมีหมวกดีๆสักใบที่พวกเขาจะฝากชีวิตไว้ได้ ออกแบบมาให้เหมาะกับการขับขี่ที่ต้องใช้ความเร็วทั้งวัสดุที่แข็งแรงและยืดหยุ่นรับแรงกระแทกได้ดี การป้องกันเต็มรูปแบบ และรูปทรงไม่ต้านอากาศเพิ่มความเร็ว และหมวกประเภทนี้จะมาพร้อมกับชิลด์ หรือกระจกกันลมทุกใบ เพราะฉะนั้นจะขับเร็วแค่ไหนก็ไม่ต้องกังวลเรื่องลมและเศษต่างๆที่จะกระเด็นเข้ามาได้
ข้อเสียของหมวกกันน็อคเต็มใบคือ สวมใส่ค่อนข้างยาก มีการบีบรัดเล็กน้อย อาจจะอึดอัดสำหรับคนที่ไม่คุ้นเคย มุมมองและวิศัยทัศน์อาจจะแคบลงเล็กน้อย แต่ก็เพื่อไม่ให้ผู้ขับเสียสมาธิกันสิ่งรอบข้าง และจดจ่อกับทางข้างหน้ามากกว่า ซึ่งก็ถือเป็นข้อเสียที่รับได้เมื่อเทียบกับความปลอดภัยของตัวผู้ขับขี่เอง อีกเรื่องคือเมื่อมีเหงื่อออก อาจจะเกิดการหมักหมมสิ่งสกปรกจนเกิดเชื้อราภายในหมวกได้ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเพราะส่วนใหญ่หมวกประเภทนี้จะสามารถถอดนวมซับที่อยู่ด้านในออกมาซักได้
ซึ่งราคาก็มีตั้งแต่หลักร้อย (ซึ่งเราไม่แนะนำเท่าไหร่) ไปจนถึงหลายหมื่นบาท ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ วัสดุที่ใช้ทำ และน้ำหนัก ยิ่งน้ำหนักเบา ราคาหมวกก็จะยิ่งแพง แต่วัสดุต้องดีด้วยนะ ระวังโดนหลอก
4. หมวกกันน็อคยกคาง (Modular)
เป็นกาารผสมผสานและนำข้อดีของหมวกกันน็อคแบบเปิดหน้า และแบบเต็มใบมารวมเข้าด้วยกัน มีความพิเศษตรงที่หน้าตามันจะเหมือนหมวกกันน็อคเต็มใบแบบปกติ แต่สามารถยกที่ป้องกันบริเวณคางขึ้นไปได้กลายเป็นลักษณะคล้ายๆกับหมวกกันน็อคเปิดหน้า เหมาะสำหรับคนที่คนที่ต้องการความสะดวกสบายในการใช้งานแต่ยังมีการป้องกันที่ดี
ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะนิยมใช้กันในกลุ่มคนที่ขับมอเตอร์ไซค์ Big Scooter หรือ แนว Touring ซึ่งก็ตอบโจทย์ความปลอดภัยและสะดวกสบาย แต่ก็ยังมีข้อเสียเล็กๆน้อยๆคือ หมวกกันน็อค แบบเปิดคางนี้มีน้ำหนักมากกว่าหมวกแบบอื่นๆ เพราะด้วยความที่มีฟังก์ชั่นและกลไกเยอะ และสามารถติดoptionอื่นเพิ่มเติมได้ เข่น หูฟังBluetooth น้ำหนักตรงส่วนนั้นก็จะถูกเพิ่มเข้าไป
5. หมวกกันน็อควิบาก (Dirt, Motocross)
ด้วยหน้าตาสุดเท่นี้ หมวกกันน็อควิบากถูกออกแบบมาสำหรับใช้ในการขับประเภท Off-Road โดยเฉพาะ สังเกตได้ว่าการป้องกันตรงส่วนคางจะยื่นออกมาด้านหน้ามากกว่าหมวกกันน็อคแบบอื่น ให้ข้างในได้มีพื้นที่มากขึ้น เพราะว่าในการขับแบบ Off-Road สภาพทางมีความขรุขระมาก การล้มจึงเป็นเรื่องปกติในการขับแบบนี้ เลยได้มีการเสริมการป้องกันบริเวณด้านหน้าเพิ่มเพื่อไม่ให้คางกระแทกกับตัวหมวก
อีกจุดหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของหมวกกันน็อควิบากคือ ด้านบนจะมีลักษณะเหมือนเป็นปีกหมวก ทำหน้าที่หลัก2อย่างคือ บังแดด โคลน เพิ่มระยะในการรับแรงกระแทก แต่สังเกตว่าหมวกกันน็อควิบากจะไม่มีชิลด์หรือกระจกกันลมติดมา เพราะว่าจะมีเศษฝุ่น ดิน โคลน กระเด็นมาใส่ตลอดเวลา การมีกระจกกันลมติดจะยุ่งยากในการทำความสะอาด แต่ก็ถูกออกแบบมาให้ใส่ควบคู่กับแว่นตาแบบรัดหมวกได้พอดิบพอดี เมื่อไม่ใช้ก็แค่ยกแว่นขึ้น และถอดออกทำความสะอาดได้ง่ายกว่า
6. หมวกกันน็อคกึ่งวิบาก / Touring Adventure (Dual sport)
ดูผ่านๆแล้วหน้าตาอาจจะคล้ายกับหมวกกันน็อควิบาก แต่สังเกตดูว่าจะมีชิลด์หรือกระจกกันลมเข้ามาเหมือนแบบหมวกกันน็อคเต็มใบ นอกจากกระจกกันลมแล้ว ส่วนใหญ่จะมาพร้อมกับแว่นกันแดดติดหมวกที่ด้านในมาด้วย มักถูกใช้ในการขับทางไกลอย่าง Touring ซึ่งจะใช้หมวกแบบ Modular ก็ได้ หรือจะลุยๆแนว Adventure ก็สามารถใช้ได้ทั้ง2สถานการณ์
หมวกกันน็อค แต่ละประเภทสามารถใช้แทนกันได้ในบางสถานการณ์ อย่างเข่น หมวกกันน็อควิบาก ก็สามารถเอามาใช้ในการขับขี่ทั่วไปในเมืองได้ แต่เพื่อความปลอดภัยสูงสุด ควรใช้ให้ถูกประเภทมากที่สุด ไม่ควรใช้หมวกกันน็อคครึ่งใบในการขับขี่วิบาก หรือ ทางไกลเด็ดขาด คิดเสมอว่าความปลอดภัยต้องมากก่อน ส่วนความเท่เราสามารถไปตกแต่งสี หรือ option อื่นๆได้ทีหลัง ขอให้ทุกคนขับขี่ปลอดภัย
อ้างอิง : https://medium.com/
อ่านบทความ : 5 แบรนด์ หมวกกันน็อควินเทจ สุดหรู เอาใจสายไฮเอนด์
Credit : ที่พัก , เสริมสวย , สัตว์เลี้ยง , ต้นไม้ , แฟชั่นผู้หญิง , เครื่องสำอาง